“ สวยเหมือนฝันไป
แต่เที่ยวได้จริงๆ ” เมื่อททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
เตรียมเปิดแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ในปี 2557
โดยใช้ชื่อ Theme ว่า “Thailand Dream Destination กาลครั้งหนึ่ง..ต้องไป”
คัดสรรที่เที่ยวสุดงดงาม
ราวกับจุดหมายในจินตนาการ ที่จะทำให้คุณหลงรักประเทศไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
จึงขอพาไปสัมผัสประสบการณ์สุดอัศจรรย์ทั้ง 10 แห่งซึ่งเชื่อว่าจะสร้างความประทับใจ และทำให้ตะลึง!
ในความอลังการไปพร้อมกัน…
10 ที่เที่ยวในฝัน
ของเมืองไทย ! Thailand Dream Destination
พบกับ 10 เส้นทางสู่ความฝัน จาก 5
ภูมิภาคของไทย
แต่ละที่ล้วนน่าสนใจ
ชวนให้ไปสัมผัสอย่างยิ่ง ซึ่งแต่ละเส้นทางท่องเที่ยวในฝันจะมีที่ใดบ้าง
ลองมาติดตามกันเลย!
เส้นทาง ภาคเหนือ
1. อลังการสีสันแห่งผาสิริมงคล
(พระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์)
2. ป่าสนสลับสี (ป่าสน
โครงการหลวง บ้านวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา
จ.เชียงใหม่)
เส้นทาง ภาคอีสาน
3. ป่าห่มศรัทธา
(วัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี)
4. เกล็ดพญานาคริมโขง
(เกล็ดพญานาค อ.สังคม จ.หนองคาย)
เส้นทาง ภาคกลาง / ตะวันตก
6. ทะเลหมอกใกล้กรุง
(เขาพะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี)
เส้นทาง ภาคตะวันออก
7. ถนนชล-จันท์
(ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต จ.ชลบุรี –ระยอง – จันทบุรี – ตราด)
8. หมู่เกาะสุดแดนบูรพา
(หมู่เกาะทะเลตราด จ.ตราด)
เส้นทาง ภาคใต้
9. สระว่ายน้ำกลางทะเล
(เกาะห้อง จ.กระบี่)
10. สวรรค์ของคนมีความรัก
(เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล)
เส้นทางที่ 1 : วัดแก้วสารพัดนึก พระธาตุผาซ่อนแก้ว อ.เขาค้อ
จ.เพชรบูรณ์
“อลังการความศักดิ์สิทธิ์ โอบล้อมท่ามกลางทะเลแห่งขุนเขา”
พระธาตุผาซ่อนแก้ว ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ความโดดเด่นอลังการที่ไม่เหมือนใคร
นอกจากทิวทัศน์สวยๆของทะเล ภูเขารายรอบ และทะเลหมอกสีขาว
ก็คือสีสันสดใสอันเกิดจากการนำกระเบื้องสี ถ้วยชามเบญจรงค์ มุก ลูกปัด แก้ว แหวน
เงินทอง สิ่งมีค่าต่างๆ ตลอดจนเซรามิคหลากสีสัน
มาประดับประดาตกแต่งเป็นลวดลายที่สวยงาม เมื่อยามต้องแสงแดด
ทั่วทั้งอาณาบริเวณจะสะท้อนประกายงดงาม ราวกับวัดบนสรวงสวรรค์
เป็นสถานที่อันสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ควรค่าแก่การไปเยือน
คำว่า ผาซ่อนแก้ว เป็นชื่อยอดเขาที่ได้มาจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน
ซึ่งมองเห็นลูกแก้วลอยลงมาจากฟ้า ก่อนลับหายไปบริเวณถ้ำที่ยอดเขา
กลายเป็นความเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จลงมา และต่อมาก็เป็นที่ตั้งของ “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว วัดแสนสวยแห่ง อ.เขาค้อ
จ.เพชรบูรณ์
– วัดเปิดให้เข้าชมทุกวัน
เวลา 08.00น. – 17.00 น.
– ช่วงเวลาเย็น
ทั่วทั้งบริเวณวัดจะสะท้อนแสงระยิบระยับเป็นภาพที่สวยงาม
– ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
หรือดูคอร์สปฏิบัติธรรมได้ที่ www.phasornkaew.org
การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 21 ผ่าน จ.สระบุรี และ จ.ลพบุรี จากนั้นเลี้ยวซ้ายสู่ทางหลวงหมายเลข
12 บริเวณแยกอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง ขับตรงไปเรื่อยๆ
ทางที่จะไปแยกแคมป์สน มีจุดสังเกตคือ อบต. แคมป์สนอยู่ขวามือ ขับตรงไปกลับรถ
ทางเข้าวัดจะอยู่บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านทางแดงข้างๆ อบต. แคมป์สน
เส้นทางที่ 2
: ป่าสนสลับสี โครงการหลวงวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่
“ในฤดูหนาว สายลมคล้ายดั่งพู่กันธรรมชาติ
แต่งแต้มป่าสนให้เต็มไปด้วยสีสัน”
เมื่อลมหนาวเดินทางมาถึง ป่าสนของ อ.กัลยาณิวัฒนา อำเภอลำดับ 878 ของประเทศไทย
จะเริ่มผลัดใบรับฤดูหนาว
เปลี่ยนสีเขียวของป่าที่ได้รับน้ำตลอดฤดูฝนให้เป็นสีสันตระการตา
ไล่สีตั้งแต่เหลืองและน้ำตาลของต้นสนแดงและส้มของต้นเมเปิล
ภาพที่เห็นคล้ายผืนผ้าใบไร้ขอบเขต ที่ถูกละเลงสีด้วยพู่กันธรรมชาติ
และความที่แต่ละต้นมีการไล่ลำดับสีแตกต่างกัน
ยิ่งทำให้ความสวยงามของเฉดสียิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ สนสองใบและสนสามใบของที่นี่
เป็นป่าสนธรรมชาติผืนใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
จากหมู่บ้านที่ต้องเผชิญความลำบาก
ก่อนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าให้พัฒนาจนกลายเป็น “โครงการหลวงหมู่บ้านวัดจันทร์” เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฏร กระทั่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกในปัจจุบัน
ไฮไลต์สำคัญคือสัมผัสความอลังการของป่าสนใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเพลิดเพลินกับหลากสีสันของใบไม้งามตามธรรมชาติ เช่น ใบเมเปิ้ลสีแดงส้ม ที่พร้อมใจผลัดใบในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ของทุกปี
ใกล้กันมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่หากมาเยือนในยามเช้า จะได้ยลสายหมอกแห่งความหนาวจับกลุ่มลอยฟุ้งเหนือผิวน้ำ ปกคลุมทิวสนจนกลายเป็นวิวสุดงดงาม และยังมีจักรยานให้ปั่นดื่มด่ำอากาศบริสุทธิ์,
เดินศึกษาป่าสน หรือคลุกคลีไมตรีจิตจากชาวบ้านปากะญอได้ตามอัธยาศัย
– ฤดูหนาวเป็นช่วงที่ป่ามีสีสันสวยงามที่สุด
– ที่นี่มีเส้นทางปั่นจักรยานที่สวยมาก
ใครมียกใส่รถไปได้เลย
การเดินทาง จากเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่ อ.แม่ริม เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1095 ที่มุ่งหน้าสู่ อ.ปาย ก่อนเข้า อ.ปาย ประมาณ 13 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายเข้าถนน หมายเลข 1265 ไปอีกประมาณ
40 กิโลเมตร ทางค่อนข้างคดเคี้ยวแต่เป็นถนนลาดยางตลอดทาง
มีรถโดยสารสองแถวสีเหลือง (เชียงใหม่-สะเมิง-วัดจันทร์)
ทุกวันจากสถานีขนส่งช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ หรือสามารถเลือกต่อรถจาก อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน แต่ควรตรวจสอบเวลารถก่อนเดินทาง
เส้นทางที่ 3 : ป่าห่มศรัทธา วัดป่าภูก้อน อ.นายูง จ.อุดรธานี
“อารามพิทักษ์ผืนป่า พลังศรัทธาแห่งสีเขียว”
ศาสนสถานที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา
และความสวยงามของสถาปัตยกรรมของวัดป่าภูก้อนแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขา
ที่รายล้อมด้วยผืนป่าเขียวขจีกว่า 3,000 ไร่ ซึ่งจุดเริ่มต้นในการสร้างวัด คือ
ความมุ่งหมายที่จะรักษาธรรมชาติของป่าอันสมบูรณ์
และแหล่งต้นน้ำลำธารอันอุดมสมบูรณ์เอาไว้จากการถูกบุกรุกทำลาย จนกลายเป็นทิวทัศน์ระดับ Unseen
Thailand
ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี” ที่สร้างเนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ
พระพุทธรูปปางไสยาสน์แนวนอนความยาวกว่า 20 เมตร
ที่ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 6 ปี และเต็มไปด้วยตำนานเล่าขาน
ตั้งแต่การได้มาของหินอ่อนขาวบริสุทธิ์จากประเทศอิตาลี ซึ่งนำมาใช้เป็นส่วนของเศียรพระ
รวมถึงงานแกะสลักอันวิจิตรตระการตาราวกับมีชีวิต จากนั้นแวะขึ้นไปกราบนมัสการ “องค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์” เจดีย์ที่ชั้นบนสุดเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
บริเวณวัดเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม ที่นอกจากจะเย็นใจในการได้เดินทางมาเยือนดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา
ยังเย็นตาไปกับงานก่อสร้างอันสวยงามอลังการ
ร่วมสัมผัสความสุขในดินแดนพุทธศาสนาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย จากหัวใจสีเขียว
ที่เปลี่ยนป่าผืนสุดท้ายแห่งอีสานตอนบน ให้กลายเป็นวัดพิทักษ์ป่าอันเขียวขจี
– วัดป่าภูก้อนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม
บนรอยต่อของ 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และ หนองคาย
การเดินทางสามารถมาได้จากหลายเส้นทาง
– ถ้าอยากถ่ายภาพวัดในมุมสูง
สามารถทำได้ด้วยการเดินป่าสู่จุดชมวิวบนหุบเขาด้านบน ซึ่งต้องติดต่อคนนำทางก่อน
การเดินทาง จ.อุดรธานี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 564
กิโลเมตร สามารถเดินทางได้ทั้งทาง รถยนต์ส่วนตัว รถทัวร์ รถไฟ หรือ
เครื่องบิน หากใช้รถโดยสารสาธารณะ เลือกทางที่จะไป อ.นายูง
ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ 8 กิโลเมตร
แล้วต่อรถรับจ้างเข้าวัดป่าภูก้อนอีกต่อหนึ่ง
เส้นทางที่ 4 : เกล็ดพญานาคริมโขง อ.สังคม จ.หนองคาย
“เมื่อสายน้ำลดระดับ ริ้วรอยแห่งธรรมชาติจะถูกเปิดเผย และร่องรอยแห่งศรัทธาจะปรากฎ”
อัศจรรย์ธรรมชาติแห่งลำน้ำโขง ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ ที่เพิ่งถูกค้นพบในภาคอีสาน
บริเวณริมแม่น้ำโขงเกิดริ้วทรายขนาดใหญ่ดูคล้ายลายเกล็ดพญานาคตวัดตัวโค้งเลื้อยผ่าน ถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในท่าทราย ของหมู่บ้านปากโสม
อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย จนกลายเป็นเประเด็น Talk of The Town สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งเฉลยแห่งรอยปริศนา
แท้จริงเกิดจากลอนคลื่นในแม่น้ำโขง พัดพาเอาทรายและตะกอนมาทับถมตรงจุดนี้
เมื่อถึงช่วงน้ำลดจนเห็นทรายแห้งเผือด ลมก็จะปัดเป่าเอาโคลนออกไป
เหลือไว้เพียงลวดลายงดงามที่ดูน่าค้นหาดังเช่นปัจจุบัน หากใครอยากมาชมให้เห็นกับตา ต้องมาในช่วงฤดูหนาว-ฤดูแล้ง (ช่วงน้ำลด) โดยแนะนำให้ขับรถขึ้นไปที่วัดผาตากเสื้อ และใช้กล้องส่องลงมาที่หาดทรายก็จะเห็น “ริ้วทรายเกล็ดพญานาค” ได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม
ความสวยงามนี้กลับถูกซ่อนไว้ใต้ผืนน้ำ เพื่อรอเวลาอันเหมาะสมที่จะเผยโฉมในยามที่น้ำเริ่มลดลวดลายเหล่านั้นจึงค่อยปรากฏขึ้นแก่สายตา
ซึ่งหากได้จากภาพมุมสูงก็จะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน นับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก
การที่ได้ฉายาว่าเมือง “นาคานคร” ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่นนี้
จึงยิ่งตอกย้ำความเชื่อของผู้คนทั้ง 2 ฟากฝั่ง
ให้ยิ่งแน่นแฟ้น แม้หลายสิ่งจะเป็นเพียงเรื่องเล่าเก่าแก่
แต่เมื่อผนวกความสวยงามของสถานที่ ความเชื่อและตำนานศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ยิ่งทำให้เกล็ดพญานาคริมฝั่งโขงแห่ง อ.สังคม
ควรค่าที่จะไปดูให้เห็นกับตาแม้เพียงสักครั้ง
– ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะไปชม
ควรไปช่วงฤดูหนาว หรือฤดูร้อน (ช่วงน้ำลด)
– ถ้าอยากได้ภาพมุมกว้างที่มองเห็นทั้งเกล็ดพญานาค
วิวแม่น้ำโขง และทัศนียภาพของประเทศไทยและลาว ให้ขึ้นไปจุดชมวิวบริเวณวัดผาตกเสื้อ
การเดินทาง หนองคายสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ได้หลายวิธี
ทั้งรถประจำทาง รถไฟ หรือเลือกนั่งเครื่องบินไปลงอุดรธานีโดย อ.สังคม อยู่ห่างจาก
อ.เมืองหนองคาย ประมาณ 95 กิโลเมตร
ต้องต่อรถประจำทางท้องถิ่นหรือเหมารถสองแถวอีกต่อหนึ่ง
เส้นทางที่ 5 : เขาช้างเผือก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
“เหมือนปลายเท้าเหยียบอยู่บนพื้น แต่ร่างกายล่องลอยอยู่บนฟ้า”
เคยฝันไหม..ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต จะขึ้นไปบนท้องฟ้า
สามารถสัมผัสและเหยียบเมฆได้? วันนี้จะเป็นความจริง
เมื่อไปเยือน “เขาช้างเผือก” ยอดเขาสูงสุดกว่า 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ผืนป่าที่ยังรักษาความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี
สิ่งท้าทายสำหรับนักท่องเที่ยว “ใจถึง” คือ การไต่พิชิตยอดเขาช้างเผือก ด้วยระยะทางประมาณ 8
กิโลเมตร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมการผจญภัย
และมีร่างกายที่แข็งแรง เพราะต้องบากบั่นในเส้นทางลาดชัด
ปีนข้ามเขาหลายลูก พร้อมเผชิญหน้า “สันคมมีด” สันหินแคบราว 1 เมตร
ที่สองข้างทางเป็นผาลาด แต่รางวัลเมื่อถึงเส้นชัยช่างคุ้มค่า
นั่นคือทัศนียภาพแสนงดงาม ของเขื่อนวชิราลงกรณ์
วิวฟากฝั่งประเทศพม่า รวมถึงสีครามของท้องทะเลอันดามัน คลอเคลียก้อนเมฆและสายหมอก ที่จะทำให้คุณประทับใจจนลืมเหนื่อย!
– ช่วงเวลาที่เหมาะสมไปได้ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์
– อุทยานฯ จำกัดนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนยอดเขาช้างเผือก จำนวน 60 –
80 คน/วัน
– ค่าบริการลูกหาบคนละ
900 บาท (จำนวนลูกหาบที่ใช้ ขึ้นอยู่กับจำนวนสัมภาระของแต่ละคณะ)
– ค่าบริการเจ้าหน้าที่อุทยานฯ
ที่เป็นผู้นำทางคนละ 900 บาท
– เปิดให้ท่องเที่ยวประมาณช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศของแต่ละปี
– นักท่องเที่ยวควรมีการเตรียมความพร้อมร่างกายให้แข็งแรง
ควรเตรียมหมวก เสื้อแขนยาว แว่นกันแดด ไฟฉาย ของใช้ส่วนตัว
และอุปกรณ์การเดินทางที่เหมาะสม
– สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
โทร 034-532-114, 081-382-0359 และททท. สำนักงานกาญจนบุรี โทร 034-512-001
, 034-512-500
การเดินทาง จากกาญจนบุรีใช้ทางหลวงหมายเลข 323 สายกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ
ถึงตลาดอำเภอทองผาภูมิ ระยะทางประมาณ 141 กิโลเมตร จากอำเภอทองผาภูมิ ใช้เส้นทางหมายเลข 3272
สายทองผาภูมิ-บ้านไร่-ปิล๊อก
ถึงสามแยกบ้านไร่ให้เลี้ยวซ้ายไป จนถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ บริเวณหลักกิโลเมตรที่
24-25
เส้นทางที่ 6 : ภูลวงตา พะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
“ทะเลหมอกแห่งผืนป่าตะวันตก
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติใกล้กรุงฯ”
หากเอ่ยถึง “ทะเลหมอก” ส่วนใหญ่ทุกคนคงนึกถึงทะเลหมอกภาคเหนือ
แต่ยังมีทะเลหมอกอีกหนึ่งแห่ง ที่ไม่ไกลมากนักจากกรุงเทพฯ
คุณก็จะได้เห็นทะเลหมอกที่มีให้ชมตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน
โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงภาคเหนือเพราะที่ “เขาพะเนินทุ่ง” ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,207 เมตร มีให้ยลโฉมตลอดทั้งปี
ซึ่งเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและต้นไม้ ที่พร้อมใจกันคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
จนกลายเป็นทะเลหมอกหนาตา ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกันอย่างเต็มที่
ในช่วงเช้าจะมองเห็นกลุ่มควันแห่งความหนาวสีขาวนวลปกคลุมทั่วหุบเขา เมื่อเริ่มจางลง บริเวณเบื้องล่างจะปรากฏภาพป่าดงดิบอันแสนชุกชุม
มีเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตาอยู่ด้านหลัง โดยจุดชมทะเลหมอกจะมีอยู่ 2 แห่ง คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 และ 36 สำหรับช่วงที่ทะเลหมอกถูกยอมรับว่างดงาม รวมถึงมีอากาศเย็นสบายที่สุด
คือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังสามารถชื่นชมดอกไม้แปลกตา
และมีโอกาสพบสัตว์หายากนานาชนิดได้ตลอดเวลา เช่น นกเงือก ค้างแว่นถิ่นใต้
พญากระรอกดำ ไก่ฟ้า ไก่ป่า เป็นต้น
– อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้กำหนดปิดพื้นที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ
ตั้งแต่บริเวณด่านสามยอด – บ้านกร่างแคมป์ – เขาพะเนินทุ่ง
ในวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม และจะเปิดอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปี
– กำหนดเวลาขึ้น–ลงเขาพะเนินทุ่ง
วันละ 2 รอบ ดังนี้
เวลาขึ้น ช่วงเช้าเวลา 05.30- 07.30 น. ช่วงบ่ายเวลา 13.00
– 15.00 น.
เวลาลง
ช่วงเช้าเวลา
09.00 – 10.00 น. ช่วงบ่ายเวลา 16.00 – 17.00 น.
– จองพื้นที่กางเต็นท์ www.dnp.go.th
– ติดต่อเช่ารถขึ้นเขาพะเนินทุ่งและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
โทร. 032-459293
– สอบถามข้อมูลโรงแรม/ที่พัก
นอกที่ทำการอุทยานที่ททท.สำนักงานเพชรบุรี โทร.032-471005-6 www.เที่ยวภาคกลาง.com
การเดินทาง จากกรุงเทพ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (
ถนนพระราม 2)
ผ่าน
จ.สมุทรสงคราม –
สมุทรสาครถึง แยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (
ถนนเพชรเกษม)
ผ่านแยกเข้าตัวเมืองเพชรบุรี ถึงสามแยกท่ายาง (กม.183-184)
เลี้ยวเข้าถนน
3187
ผ่าน อ.ท่ายางและเลียบคลองชลประทาน ระยะทางประมาณ 7
กม.
ถึงเขื่อนเพชรใช้เส้นทาง 3499
ระยะทางประมาณ 30
กม. ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
จากที่ทำการอุทยานฯ ถึงบ้านกร่างแคมป์ ระยะทาง 35
กม.
และต่อไปอีก 15
กม.ถึงเขาพะเนินทุ่ง
เส้นทางที่ 7 : ถนนชล-จันท์ เส้นทางเฉลิมบูรพาชลทิต จ.ชลบุรี – ระยอง – จันทบุรี – ตราด
“ชิวอารมณ์ไปกับภูเขา
ท้องฟ้า และสายน้ำ ผ่านถนนเลียบทะเลที่ยาวที่สุดในประเทศไทย”
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ขับรถเพลินๆ
ไปบนถนนที่ด้านหนึ่งเป็นภูเขาและอีกด้านเป็นทะเลเป็นแน่ถนนที่ชมวิวได้อย่างต่อเนื่องสายนี้
มีจุดเริ่มตั้งแต่ จ.ชลบุรี ผ่าน จ.ระยอง จ.จันทบุรี ไปจนถึง จ.ตราด
เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่ามีทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดในภาคตะวันออก
มาชวนเพื่อนครอบครัว หรือคนรัก เปิดหน้าต่างฟังเสียงคลื่น
สัมผัสกลิ่นไอทะเลในอารมณ์
“Scenic Route” บน “ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต”
ไม่น่าแปลกใจที่ถูกขนานนามว่า “Scenic Route” หรือ “เส้นทางชมวิวสุดงดงาม” สำหรับถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ที่ตั้งอยู่เลียบชายหาดทะเลจังหวัดจันทบุรี จุดเด่นคือทัศนียภาพที่สวยงาม บรรยากาศร่มรื่น มีเลนส์เฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการปั่นจักรยาน
โดยตลอดเส้นทางจะมีแหล่งท่องเที่ยว และสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่ง ซึ่งจุดเริ่มต้นของเส้นทาง “Scenic Route” สตาร์ทตั้งแต่ อ่าวคุ้งวิมาน เส้นทางคดเคี้ยวเลียบเลาะภูเขาและทะเลรูปตัวเอส (s) เมื่อขับตรงไปจะพบกับ จุดชมวิวเนินนางพญา เนินเขาเล็กๆ ที่สามารถขึ้นไปชมความอลังการของเสน่ห์ท้องทะเลอ่าวคุ้งวิมานได้
รวมถึงอีกหนึ่ง Hi-light
สำคัญที่ห้ามพลาดโดยเฉพาะคู่รัก คือการนำแม่กุญแจ 2 ลูกไปล็อคคู่กัน ตามความเชื่อที่ว่าจะรักกันยืนยาวตลอดไป จากนั้นขับออกมาทางเดิมจะผ่าน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้หลงใหลในสิ่งแวดล้อม
กับเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และสวยงาม
– ควรตรวจสภาพรถให้พร้อมก่อนเดินทาง
– ตลอดเส้นทางมีจุดแวะพักมากมาย
ควรวางแผนการเดินทางและเผื่อเวลาไว้สำหรับการแวะเที่ยวชม
การเดินทาง ถนนสายนี้เริ่มตั้งแต่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
ไปยังแยกทางหลวงหมายเลข 3161 (สุขุมวิท – อ่าวไข่)
จ.ระยอง เลียบชายฝั่งทะเลตะวันออกไปเรื่อยๆ และสุดทางที่บ้านแหลมสิงห์ จ.จันทบุรี
รวมระยะทางทั้งหมด 111 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 8 : หมู่เกาะอินดี้ หมู่เกาะทะเลตราด
“หมู่เกาะแผ่นดินตะวันออก ที่จะเปลี่ยนวันหยุด ให้เป็นมากกว่าที่เคย”
ตราด สวรรค์ของคนรักธรรมชาติ
พร้อมแล้วที่จะให้คุณได้ไปสัมผัสโลกของทะเลตะวันออกที่สวยงามไม่แพ้ฝั่งอันดามันพบกับสีเขียวมรกตของท้องทะเล
สีฟ้าของท้องฟ้าปนเมฆจางๆ ที่ตัดกับสีสันของชุดว่ายน้ำของนักท่องเที่ยว
พร้อมเกาะน่าเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกาะช้าง เกาะกูด เกาะหมาก เกาะกระดาน
เกาะขาม ฯลฯ ให้คุณเลือกว่าอยากไปชิวที่ไหน
น้ำทะเลใสราวกระจก
ตัดสลับท้องฟ้าสีฟ้าคราม เพลิดเพลินกับสิ่งมีชีวิตใต้มหาสมุทร คือ เสน่ห์ทะเลฝั่งตะวันออกในจังหวัดตราด เมืองเกาะครึ่งร้อยที่หลายคนอยากมาเยือน
ไล่ตั้งแต่เกาะกูด เกาะที่ The
New york Times จัดให้เป็น 1 ใน 31 สถานที่ควรไปเยือน โดยเฉพาะบริเวณหาดคลองเจ้า มีหาดทรายเนียนละเอียดที่สุดบนเกาะกูด รวมถึงป่าชายเลนเขียวครึ้มทอดเป็นแนวยาวสุดสายตา
จากนั้นไปเกาะหมาก เพื่อดำน้ำชมประติมากรรมช้างใต้ทะเลจากฝีมือของศิลปินแห่งชาติชื่อดัง ที่มีให้เลือกชมถึง 9 ตัว ต่อด้วยการสวมสน็อกเกิล เสื้อชูชีพ
แล้วกระโดดลงไปดำผุดดำว่ายชมปะการังน้ำตื้น เห็นปลานานาชนิดว่ายไปมาอยู่รอบตัว ใต้ท้องทะเลอ่าวไทยสุดตื่นตาตื่นใจที่หมู่เกาะรัง นอกจากนี้ยังมีเกาะอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เกาะกูด, เกาะผี, เกาะกระดาด
ที่สร้างความประทับใจได้ไม่แพ้กัน
ไม่เพียงแต่ท้องฟ้าและทะเล
หมู่เกาะทะเลตราดยังมีกิจกรรมให้เลือกทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชมฝูงปลาที่
เกาะกระดาด ดูปะการังตามแนวหินภูเขาไฟที่เกาะขาม หรือปั่นจักรยานชมวิถีชีวิตอันเรียบง่าย
ดื่มด่ำความสวยงามของธรรมชาติ นั่งมองทะเลยามกลางวัน มองดวงดาวยามค่ำคืน
จากนั้นเปิดหัวใจคุณได้สัมผัสความสุขที่หมู่เกาะแผ่นดินตะวันออกรอมอบให้
เกาะหมากมีสวนยางพาราให้เที่ยวชมวิถีท้องถิ่นของชาวบ้าน
และเกาะกูดมีน้ำตกให้ไปนอนเล่น
– ควรดูสัญญาณโทรศัพท์ดีๆ
เพราะบางแห่งจะกลายเป็นสัญญาณของประเทศกัมพูชา หากใครเปิดระบบอัตโนมัติไว้
ระวังจะเจอค่าโทรแบบ international
ซึ่งมีราคาสูง
– ที่เกาะช้างมีบริการ
Dinner Cruise ที่นั่งเรือพายพาชมหิ่งห้อยยามค่ำ
โรแมนติกมากสำหรับคู่รัก ติดต่อได้ที่ชมรมนำเที่ยวพื้นบ้านสลักคอก
การเดินทาง รถส่วนตัวสามารถเลือกไปได้หลายเส้นทางสู่ จ.ตราด
ทั้งทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) หรือ 34 (บางนา-บางปะกง) นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทาง
และสามารถต่อรถไปถึงท่าเรือได้อย่างสะดวกสบาย
เส้นทางที่ 9 : สระว่ายน้ำกลางทะเล เกาะห้อง จ.กระบี่
“ดีกว่าไหม…ถ้าสระว่ายน้ำของคุณจะล้อมรอบด้วยผืนทรายและขอบฟ้า”
หากใครได้มาลอยคอไปกับความสวยใสของสระว่ายน้ำสีมรกตของเกาะห้อง ก็แทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ไม่ยาก
ลากูนกลางทะเลแห่งนี้ รายล้อมด้วยผาหินปูนเรียงรายที่โอบล้อมน้ำทะเลใสแจ๋วไว้
จนเหมือนเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ไม่มีคลอรีน มีก็แต่สระน้ำใสๆ
ที่ขอบสระเป็นหาดทรายขาว
แถมด้วยปลาทะเลฝูงใหญ่ที่คอยเวียนว่ายอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้เหงา
ผาชันที่ตั้งอยู่รายรอบเกาะ
เสมือนผนังที่ห้อมล้อมทะเลน้ำใสไว้กึ่งกลาง จนเกาะห้อง จ.กระบี่ ถูกขนานนามอีกชื่อหนึ่งว่า อ่าวลากูนหรือทะเลใน ซึ่งถือเป็นเกาะที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก โดยเฉพาะน้ำทะเลสีคราม จุดเด่นของเกาะห้องอยู่ที่ “อ่าวบิเละ” หาดทรายขาวละเอียดนุ่มเท้าลักษณะโค้งเป็นรูปนกบิน
มีฝูงปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายให้เห็นอยู่ทั่วไปห่างจากชายหาดลงไปในทะเลมีกัลปังหาและปะการังหลากชนิด
เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ
และถือว่าเป็นแหล่งพายเรือคายัค แหล่งดำน้ำ
ดูปะการังน้ำตื้นที่สวยงาม จนครั้งหนึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 เกาะ
ที่มีหาดน่าเที่ยวและสะอาดที่สุดในโลก!
– บนเกาะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ
มีร้านเครื่องดื่ม ขนม สุขา
– ฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสม คือ
ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน (ช่วงเดือน มิ.ย. – ต.ค.
เป็นช่วงฤดูมรสุม ไม่เหมาะในการมาเที่ยว)
การเดินทาง มีเรือเร็วที่อ่าวนาง หรือหาเรือได้ที่ท่าเทียบเรือท่าเลน
และท่าเรือที่หาดนพรัตน์ธารา แต่ขอแนะนำให้ซื้อแพ็คเกจแบบครึ่งวัน
หรือเต็มวันไปจะสะดวกกว่า ซึ่งส่วนมากจะรวมเรื่องอาหารและเครื่องดื่มและเกาะอื่นๆ
ไว้เรียบร้อยแล้ว
เส้นทางที่ 10
: สวรรค์ของคนมีรัก
เกาะหลีเป๊ะ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล
“ฟ้าใส ทรายขาว
ทะเลสีมรกต เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะละลายหัวใจนักเดินทาง”
“มัลดีฟส์” ทะเลในฝันของใครหลายคนในโลก ทั้งความใสกิ๊งของน้ำทะเล
บวกธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์จากปะการังรอบเกาะ มีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม
หาดทรายละเอียดนิ่มเหมือนแป้ง แต่เชื่อไหมว่าทั้งหมดนี้ก็มีอยู่ในบ้านเรา! มัลดีฟส์เมืองไทย สมญาของเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล สวรรค์แห่งท้องทะเลอันดามัน
“หลีเป๊ะ” มาจากภาษาชาวเล
“อูรักลาโว้ย” แปลว่า กระดาษ เป็นภาษาของชนกลุ่มแรกที่มาตั้งถิ่นฐานที่นี่ ตั้งชื่อจากลักษณะภูมิประเทศของเกาะที่แบนราบ
และมีความยาวจากหัวเกาะไปยังท้ายเกาะเพียงแค่ประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ว่าเป็น 3 กิโลเมตร แห่งความโรแมนติก
ที่จะสะกดลมหายใจของใครหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้มากับคนรัก
จูงมือกันดำน้ำที่ร่องน้ำจาบัง
เป็นการดำน้ำตื้นที่สามารถชมปะการังน้ำลึกได้ แวะอ่าวลิงที่เต็มไปด้วยกองทัพปูเสฉวน ชื่นชมความงามหาดพัทยา หาดชาวเล
ดูความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติของเกาะหินงาม แล้วแวะหาเครื่องดื่มเย็นๆ อาหารทะเลสดๆ
ที่ถนนคนเดิน นั่งชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สะท้อนกับชายหาด
ปิดท้ายก่อนกลับด้วยการไปลอดซุ้มประตูหินบนเกาะไข่
ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ครองคู่กันอย่างมีความสุข
เท่านี้ก็ทำให้เกาะหลีเป๊ะกลายเป็นสวรรค์ของคนมีความรัก
– เนื่องจากที่พักบนเกาะต้องปั่นไฟฟ้าใช้
ดังนั้นควรตรวจสอบกับที่พักแต่ละแห่งว่า เปิด-ปิด ไฟเวลาเท่าใด
– อาหารบนเกาะค่อนข้างมีราคาแพงหากพกอะไรติดตัวไปได้
จะช่วยให้ประหยัดขึ้น
– หาข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.kohlipethailand.com
การเดินทาง จากท่าเรือปากบารา อ.ละงู จ.สตูล
มีเรือไปเกาะหลีเป๊ะทุกวัน เดินทางได้ช่วงเวลา ต.ค. ถึง พ.ค. ของทุกปี
แต่ควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อน หรือเลือกนั่งเครื่องบินไปลงที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
แล้วค่อยต่อรถไป
สัมผัสความอลังการทั้ง 10 เส้นทางในฝัน แล้วรู้สึกเหมือนกันไหม ว่าทำให้เรา
“หลงรัก และหลงรักประเทศไทย” มากขึ้นจริงๆ…
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย www.tourismthailand.org/dreamdestinations